นิยามที่ดีที่สุด
อีเย็ดซ้อน

พงศาวดารของ "อีดอกทอง"
Author: กรกิจ ดิษฐาน
"ดอกทอง"
ปรากฎในกฎหมายพระไอยการลักษณวิวาท ตี/ด่า กัน มหาศักราช 1369 (ปี พ.ศ. 1990)
กำหนดโทษคนด่ากันต่างๆ นานาว่ามีโทษ เช่น ด่าว่า "อีดอกทอง อีเย็ดซ้อน"
ซึ่ง 2 คำนี้เขียนคู่กัน ในลักษณะว่าความหมายเดียวกัน
ซึ่งในมาตรานี้ก็เขียนคำด่าคู่แบบเดียวกันนี้อีกหลายคำ
แสดงว่า "อีดอกทอง อีเย็ดซ้อน" มีความหมายเดียวกัน นั่นคือ
"อีคนสังวาสซ้ำซ้อน" (อาจจะเอาผัวคนอื่นมาเป็นของตัว)

คำถามเรื่อง "อีดอกทอง" มาจากไหน ทำไมถึงใช้ด่ากระทบผู้หญิง?

พืชประเภทที่น่าจะเกี่ยวกับคำ "ดอกทอง" โดยตรง นั่นคือ "ว่านดอกทอง" (Curcuma Spp.)
ซึ่งเป็นวงศ์วานว่านเครือเดียวกับขิง กลับดอกมันขาวโดยรอบแต่โคนในเหลืองสุกเหมือนทอง
หัวว่านยังมีสีเหลืองอีก แต่สีสันของมันไม่หวือหวาเท่ากับสรรพคุณ
ตำราว่า "ว่านดอกทอง" มีฤทธิ์ในทางมหานิยมให้คนลุ่มหลง
ร้ายกาจถึงขนาดเพียงแค่ดมกลิ่นถึงขนาดทำให้กระสันเสียวซ่าน
ทำให้หญิงทนกำหนัดไม่ไหวต้องคบชู้สู่ชาย
คนโบราณเขาถึงหวงกันนัก เพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ไม่ถูกต้อง


ไม่ว่า "ดอกทอง" มาจากที่ใด ความหมายของมันล้วนตรงกัน คือใช้ด่าผู้หญิง "แพศยา"

ดอกไม้อีกประเภทที่คนโบราณมักอุปมาใช้ด่าผู้หญิง "ร่าน" คือ "อีดอกตำแย"
เพราะ "ดอกตำแย" นั้นคันทะเยอ เปรียบว่าช่องสังวาสของนางนั้นคันทะเยออยู่ตลอดเวลา
จนกระสันอยากจะได้ของบุรุษมาช่วยคลายอาการ (คำด่าแบบนี้อยู่ในเสภาขุนช้างขุนแผน)

ในพระวรสารนักบุญลูกา ฉบับภาษาสยาม (The Gospel of St. Luke in Siamese)
แปลเป็นภาษาสยามโดยท่าน C. Gutzlaff บทที่ 15 ท่านแปลคำว่า Prostitutes ว่า "ดอกทอง"

ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของหมอบรัดเลย์เมื่อปี 2416
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท่านนิยามไว้ว่า "หญิงดอกทองเป็นหญิงคนชั่วนั้น เหมือนอย่างหญิงพวกกรอกสำเพ็ง"
หมายความว่าดอกทองคือ พวกขายตัว เหมือนผู้หญิงขายตัวย่านตรอกสำเพ็ง
ซึ่งเป็นย่านค้าประเวณีใหญ่ในบางกอก จนกลายเป็นที่มาของคำว่า "อีสำเพ็ง"

"ดอกทอง" "แพศยา" "อีดอกทอง" "อีเย็ดซ้อน" "อีดอกตำแย" "อีสำเพ็ง"