นิยามที่ดีที่สุด
หนองใน

"หนองใน"
"โรคหนองใน"

เป็น "โรคติดต่อ" ทาง "เพศสัมพันธ์"
ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย "Neisseria Gonorrhoeae" และ "Chlamydia Trachomatis"
ซึ่งสามารถแพร่ผ่านการมี "เพศสัมพันธ์" หรือ จากแม่สู่ลูกผ่านการคลอด
อาการของโรคอาจไม่ชัดเจนและแตกต่างกันในแต่ละเพศ
การรักษาจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น "Ceftriaxone" หรือ "Doxycycline" ขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อ
ทั้งนี้การป้องกันการติดเชื้อทำได้โดยการใช้ "ถุงยางอนามัย" ทุกครั้งที่มี "เพศสัมพันธ์"
และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ควรงดการมี "เพศสัมพันธ์" จนกว่าจะได้รับการรักษาจนครบและอาการหายเป็นปกติ
หรืออย่างน้อย 7 วัน หลังเริ่มการรักษาและควรให้คู่นอนได้รับการรักษาพร้อมกัน

"หนองใน" เป็น "โรคติดต่อ" ทาง "เพศสัมพันธ์" ที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 ของโลก
โดยในปี พ.ศ. 2563 พบผู้ป่วยโรค "หนองใน" จำนวน 82 ล้านคน จาก 374 ล้านคน
ที่ติดเชื้อทาง "เพศสัมพันธ์" ทั่วโลก ซึ่งกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 15-24 ปี
โรคนี้สามารถพบได้ทั้งในเพศชายและหญิง และแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
"หนองในแท้" และ "หนองในเทียม"


โรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน
เช่น การอักเสบในอุ้งเชิงกรานหรือภาวะมีบุตรยาก
ซึ่งล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาหนองในด้วยยาของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2564

สรุป
"โรคหนองใน" เป็น "โรคติดต่อ" ทาง "เพศสัมพันธ์"
ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย "Neisseria Gonorrhoeae" และ "Chlamydia Trachomatis"
ซึ่งสามารถแพร่ผ่านการมี "เพศสัมพันธ์" หรือจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอด
อาการของโรคอาจไม่ชัดเจนและแตกต่างกันในแต่ละเพศ
การรักษาจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น "Ceftriaxone" หรือ "Doxycycline" ขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อ
ทั้งนี้การป้องกันการติดเชื้อทำได้โดยการใช้ "ถุงยางอนามัย" ทุกครั้งที่มี "เพศสัมพันธ์"
และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ควรงดการมี "เพศสัมพันธ์" จนกว่าจะได้รับการรักษาจนครบและอาการหายเป็นปกติ
หรืออย่างน้อย 7 วัน หลังเริ่มการรักษาและควรให้คู่นอนได้รับการรักษาพร้อมกัน

หนองใน

"หนองในแท้" ( "Gonorrhea" )
สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า "Neisseria Gonorrhoeae"
ซึ่งแพร่ผ่านการมี "เพศสัมพันธ์" จาก "น้ำอสุจิ" และ "น้ำในช่องคลอด" เป็นหลัก
หรือแพร่จากการสัมผัสเชื้อโดยตรง
เช่น การแพร่จากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารกผ่านการคลอดทางช่องคลอด
ทำให้เยื่อบุตาเกิดการติดเชื้อได้

อาการ
ในเพศชายร้อยละ 10 และผู้หญิงร้อยละ 50 จะไม่แสดงอาการ
ในกรณีที่มีอาการแสดงจะเริ่มแสดงเมื่อได้รับเชื้อไปแล้ว 1-14 วัน
ซึ่งอาการแสดงจะแตกต่างกันในแต่ละเพศ คือ
- เพศชาย: พบหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด
ในบางรายอาจมีลูกอัณฑะอักเสบ หรือเป็นฝีที่บริเวณอวัยวะเพศ
- เพศหญิง: พบตกขาวผิดปกติ ไม่คัน ปากมดลูกอักเสบ
หรือมีโรค "หนองในเทียม" ร่วมด้วย "หนองที่ปากมดลูก"

นอกจากนี้ยังสามารถพบ "หนองในแท้" ที่เยื่อบุตาได้ โดยมีอาการแสดง
เช่น ตาแดงมาก เปลือกตาบวม ปวดตา ตามัวลง มีขี้ตาหรือน้ำหนองไหลออกจากตาตลอดเวลา
กดเจ็บที่ดวงตา ซึ่งสามารถเกิดที่ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้
ในบางรายอาจพบเลือดออกใต้เยื่อบุตาขาว ( "Subconjunctival Hemorrhage" )


การรักษาแบ่งเป็น 2 ประเภทตามอวัยวะที่ติดเชื้อ

1. "หนองในแท้" ที่ "อวัยวะเพศ" คอและทวารหนัก
ทั้งนี้แนะนำให้รักษา "หนองในเทียม" ร่วมด้วย
เนื่องจากประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรค "หนองใน" มักมีการติดเชื้อ "หนองในเทียม" ร่วมด้วย
แต่กรณีที่ได้รับ "Azithromycin" ไม่จำเป็นต้องเพิ่มยารักษาโรค "หนองในเทียม" อีก

2. "หนองในแท้" ที่เยื่อบุตา และเช่นเดียวกับ "หนองในแท้" ที่ "อวัยวะเพศ" คอและทวารหนัก
แนะนำให้การรักษาโรค "หนองในเทียม" ร่วมด้วย
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ทำการล้างตาด้วยน้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อบ่อย ๆ
เมื่อมีขี้ตาจำนวนมาก หากอาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาจักษุแพทย์

ประเด็นน่าสนใจอื่น ๆ
- คู่นอนที่มี "เพศสัมพันธ์" ภายใน 60 วัน ควรได้รับการรักษาเช่นเดียวกับผู้ป่วย
- หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร แนะนำ "Ceftriaxone" 1 g ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
- การติดเชื้อ "หนองในแท้" ในทารกแรกเกิด มักพบที่บริเวณเยื่อบุตาเป็นหลักจากการติดเชื้อทาง "ช่องคลอด"
ยาที่ใช้รักษา คือ "Ceftriaxone" 25-50 mg/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (ไม่เกิน 250 mg)
ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือให้ยาทางหลอดเลือดดำครั้งเดียว